ต้องยอมรับว่าปีศาจแมนยูฯในปัจจุบัน ไม่ค่อยมีการเสริมทัพที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก หากย้อนไป 2 – 3 ปีที่แล้ว หนึ่งในดีลที่ดีที่สุดต้องมีชื่อของ บรูโน่ เฟอร์นันเดส กองกลางสัญชาติโปรตุเกส ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงแมนยูฯให้มีความน่ากลัวของเกมรุก เขาใช้เวลาพิสูจน์ตนเองจนตอนนี้ได้กลายมาเป็นกัปตันของทีมยุคใหม่เรียบร้อย
เรื่องราวของ บรูโน่ เฟอร์นันเดส เขาเกิดวันที่ 8 กันยายน ปี ค.ศ.1994 เป็นชาวเมืองไมยา ประเทศโปรตุเกส อยู่ในครอบครัวชนชั้นกลาง ซึ่งชอบเล่นฟุตบอลกับเพื่อนทุกครั้งหลังเลิกเรียน จนเขาได้มีโอกาสเข้าฝึกกับทีมเยาวชนขสโมสรอินเฟสต้า แม้ว่าจะมีอายุเพียง 8 ปีแต่ก็สามารถฉายแววความเก่งออกมา จนเมื่ออายุ 10 ปีก็ได้ย้ายมาอยู่ในทีมเยาวชนสโมสรเบาวิสต้า ลงแข่งขันในรายการชุด U12
จนสามารถก้าวไปยังสโมสรโนวารา ค้าแข้งอยู่ในลีกกัลโชซีรีย์บี ประเทศอิตาลี ด้วยสัญญาแรกของชีวิตเมื่อวัย 18 ปี เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับฟุตบอลยุโรป
จากนั้น Bruno Fernandes ก็ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอูดิเนเซ่ ในปี 2013 เล่นให้กับสโมสรซามพ์โดเรีย ในปี 2016 และที่พีคสุดคือการย้ายไปเล่นให้กับสโมสรสปอร์ติงลิสบอน ในปี 2017 – 2020 เล่นไปทั้งหมด 83 นัดและยิงไป 39 ประตู ช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกและคว้าแชมป์ถ้วย ด้วยสายสัมพันธ์ที่ดีทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซื้อตัวเขามาในฤดูกาล 2020 – 21 ด้วยค่าตัวสูงถึง 67.6 ล้านปอนด์
ปัจจุบัน บรูโน่ เฟอร์นันเดส ลงเล่นให้กับแมนยูฯไปกว่า 90 นัด สามารถยิงไปได้ 40 ประตู และแอสซิสต์ไปมากกว่า 40 ครั้ง ถูกยกให้เป็นเพลย์เมเกอร์คนสำคัญที่แมนยูฯจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว ปัจจุบันฤดูกาล 2022 – 23 เขาก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมอย่างไม่มีข้อสงสัย มีจุดเด่นที่การครองบอล สามารถผ่านบอลส่งบอลได้แม่นยำ ส่งบอลคิลเลอร์พาสได้ ยิงลูกตั้งเตะหรือลูกนอกกรอบเขตโทษได้ดีอีกด้วย
แต่จุดอ่อนของเขาหลายคนมองไปถึงการจ่ายบอลเสียบอล แต่หลายครั้งก็สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นโอกาสทำประตูของเพื่อน ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Bruno Fernandes มีเชื่อเสียไปพร้อมกับชื่อเสียง นั่นคืออาการหัวร้อนของเขาที่มีต่อเกม ทุกเกมเราจะเห็นว่าเขาชอบโมโหเพื่อนหรือโมโหกรรมการ มีบางครั้งความหัวร้อนของเขาก็ทำให้ถูกจัดใบเหลืองกันมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดเขาได้อยู่ จนหลายคนก็มองว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ระบบทีมเสีย หรือตัวเองต้องเสียสมาธิเล่นไม่ออก
แต่บางคนก็มองว่าเป็นการกระตุ้นเพื่อนในยามที่หลายคนไม่สู้และแพ้ไปด้วยสกอร์ขาดลอยนั่นเอง ยิ่งตอนนี้ Bruno Fernandes ได้ขึ้นมาเป็นกัปตันด้วยแล้ว แฟนบอลก็คงได้แต่ลุ้นว่าความหัวร้อนของเขาจะช่วยทีมได้มากน้อยเพียงใด